~พญานาคคืออะไร
ข้อมูลจากเวบ palungjit.org
พญานาคคือะไร มาหาคำตอบกัน
มักมีการตั้งคำถามว่าพญานาคคืออะไร ทำไมเรื่องของพญานาคถึงมีมากแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แถวๆ ไทย ลาว กัมพูชา พม่า โดยเฉพาะประเทศไทย มีคนสนใจพญานาคกันมากจริงๆ นะคะ งั้นลองมาอ่านกันดูดีกว่าค่ะ
พญานาคตามวรรณคดีนั้นคืออมนุษย์พวกหนึ่งเป็นกึ่งเทพกึ่งสัตว์ เป็นเจ้าแห่งงูอยู่ในบาดาล คือใต้แผ่นดินที่เรา อาศัยอยู่ลึกลงไป รูปร่างโดยทั่วไปเป็นงูใหญ่ แต่มีเกล็ดและมีหงอนงาม มาก พญานาคนั้นเป็นโอรสของพระกัสยปเทพบิดร (ซึ่งเป็นโอรสของพระพรหมอีกทีหนึ่ง) กับ นางกัทรุ (ธิดาของพระทักษะประชาบดี)
เมื่อกำเนิดมามารดาได้คลอดบุตรออกมาเป็นไข่ ๑,๐๐๐ ฟองและ ๕๐๐ ปี ต่อมาก็แตกออกมาเป็นพญานาคนี้ทั้งหมด ซึ่งเมื่อกล่าวถึง นาคแล้วก็อดไม่ได้ที่จะต้องกล่าวถึงเรื่องครุฑแทรกเข้ามาด้วย คือในขณะเดียวกันกับพวกนา จะเกิดขึ้นนี้ พระกัสยปเทพบิดรมีชายาอีกนางหนึ่งคือนางวินตา
ซึ่งคาดว่าจะมีเรื่องระหอง ระแหง กับนางกัทรุมารดาของพวก นาคทั้งที่เป็นพี่น้องกัน สาเหตุ นั้นคือเมื่อนางกัทรุตั้งครรภ์ นางขอพรพระกัสยปให้มีโอรสที่มีฤทธิ์หนึ่งพัน พระกัสยป ผู้เป็นพระสวามีก็ให้พรตามที่นางขอ นางวินตาเห็นดังนั้นก็ขอพรบ้างแต่ขอให้มีโอรสเพียง ๒ องค์ แต่ให้มีฤทธิ์อำนาจเหนือกว่า โอรสของนางกัทรุ
ดังนั้นเพียงแคขอพรก็เห็นได้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่อง เพราะใครคงไม่อยาก ให้ลูกคนอื่นดีกว่าลูกตนเอง แต่ยังก่อนจนกระทั่งเวลาผ่านไป ๕๐๐ ปี นางทั้งสองต่าง ก็คลอดโอรส โดยนางกัทรุคลอดออกมาเป็นนาคทั้งหมดส่วนนางวินตาคลอดโอรสออกมา เป็น ไข่ ๒ ฟอง แต่ยังไม่แตกออกมา
นางร้อนใจจึงรีบทุบไข่ ฟองหนึ่งออกมา ผลปรากฏว่าไข่ ฟองแรก ของนางเกิดเป็นพระอรุณเทพบุตร มีรูปร่างใหญ่โต แต่มีร่างเพียงครึ่งเดียวเพราะเกิดก่อนกำหนด พระอรุณโกรธแม่มากเลยสาปให้นางวินตาต้องเป็นทาสนางกัทรุ ๕๐๐ ปีจน กว่าโอรสองค์ที่สองคือครุฑจะถือกำเนิดแล้วจะมาปลดปล่อยให้เป็นไท
ส่วนตนเองก็เหาะขึ้นฟ้า ไปเป็นสารถีให้พระอาทิตย์ ต่อมานางกัทรุกับนางวินตาเกิดพนันขันต่อกันขึ้นว่า ม้าเทียมรถพระอาทิตย์คือม้าอุจไฉสรพะมีสีอะไรนางวินตา ว่ามีสีขาวส่วนนางกัทรุว่ามีสีดำ ซึ่งความจริงม้านั้นมีสีขาวทั้งตัว นางกัทรุในตอนหลังทราบว่า ม้าเทียมรถพระอาทิตย์มีสีขาวกกลัวจะแพ้พนัน เลยให้นาคที่เป็นโอรสไปพ่นพิษใส่จนกลาย เป็นสีดำ
หรือบางตำราก็ว่าให้นาคแปลงตัวไปแทรกขนม้าจนกลายเป็นขนสีดำ พอเช้ามานาง วินตาก็ต้องแพ้พนันไปตามระเบียบต้องยอมตัวเป็นทาสตามเดิมพันจวบจน ๕๐๐ ปี ให้หลัง ครุฑจึงเกิดมาเป็นพญานกมีฤทธิ์มาก เห็นแม่เป็นทาสก็เลยหาทางช่วยโดยไปต่อรองกับ พวกนาคว่าจะขโมยน้ำอมฤตมาให้พวกนาคดื่มเพื่อจะได้เป็นอมตะ ซึ่งครุฑก็ขโมยมาจาก พระอินทร์ได้สำเร็จ
่ถึงแม้พวกเทวดาตามมาแย่งคืนก็สู้ครุฑไม่ได้ จนถึงพระนารายณ์มารบก็เพียง เสมอกัน จึงมีข้อตกลงกันว่าเวลานั่งครุฑจะนั่งสูงกว่าพระนารายณ์แต่ถ้า พระนารายณ์จะเสด็จไปไหน ครุฑจะต้องเป็นพาหนะ และพระนารายณ์ให้พรครุฑให้เป็นอมตะแม้ไม่ได้ดื่มน้ำอมฤตทั้งยัง ได้กินพวกนาคเป็นอาหารด้วย
หลังจากนั้นเมื่อครุฑนำน้ำอมฤตมาให้พวกนาค ๆ ก็ได้ปล่อย นางวินตาให้เป็นไทส่วนน้ำอมฤตวางไว้บนหญ้าคา แถมครุฑยังลวงให้พวกนาคไปชำระ ร่างกายให้สะอาดก่อนดื่ม ซึ่งพระอินทร์ได้ฉกฉวยจังหวะนั้นนำคณโฑน้ำอมฤตกลับไปได้ (โดยแอบตกลงกับครุฑไว้ก่อน)
ส่วนพวกนาค เมื่อน้ำอมฤตหายไปก็เสียดายนัก จึงไปเลีย ตามหญ้าคานั้น ใบหญ้าคมก็บาดลิ้นนาคเป็น ๒ แฉก งูจึงมีลิ้น ๒ แฉกตลอดมา ฝ่ายครุฑ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจช่วยแม่สำเร็จก็เริ่มปฏิบัติการจองเวรจับนาคมาเป็นอาหาร ครุฑกับนาค จึงเป็นศัตรูกันเรื่อยมานับแต่นั้น
ประเภทของพญานาค
พญานาคสามารถแบ่งได้หลายประเภทตามแต่จะแบ่งเช่นหน้าที่พิษ การกำเนิด ซึ่งคัมภีร์ทางพุทธศาสนาได้ แบ่งพญานาคออกอย่างละเอียดได้ถึง ๑,๐๒๔ ชนิด ในหนังสือ ปรมัตถโชติกะ มหาอภิธัมมัตถสังคหฎีกา ปริจเฉทที่ ๕ ได้จัดหมวดหมู่ของพญานาคไว้ดังนี้
พญานาคมี ๔ ประเภทคือ
๑. กฏฐมุข พญานาคที่มีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วร่างกายผู้นั้นจะแข็งไปหมดทั้งตัว อวัยวะต่าง ๆ เช่นแขนจะงอเข้าและยืดออกไม่ได้และปวดมาก
๒. ปูติมุข พญานาคที่มีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วรอยแผลที่ถูกกัดนั้นจะเน่าและมีน้ำเหลืองไหลออกมา
๓. อคคิมุข พญานาคที่มีพิษชนิดหนึ่งถ้ากัดผู้ใดแล้วจะเกิดความร้อนไปทั่วทั้งตัว และรอย แผล ที่ ถูก กัดนั้นเป็นรอยริ้ว คล้ายกับถูกไฟไหม้
๔. สตถมุข พญานาคที่มีพิษชนิดหนึ่ง ถ้ากัดผู้ใดแล้วผู้นั้นก็เหมือนกับถูกฟ้าผ่า
ในบรรดาพญานาคทั้ง ๔ ประเภทนี้ พญานาคที่มีพิษประเภทหนึ่งๆ ก็มีวิธีทำ
อันตรายได้ ๔ วิธีคือ
๑. ทัฏฐวิสาพญานาค ถ้ากัดแล้วก็เกิดพิษซ่านไปทั่วทั้งตัว
๒. ทิฏฐวิสพญานาค ใช้มองดูแล้วพ่นพิษออกทางตา
๓. ผุฏวิสพญานาค มีพิษทั่วไปที่ร่างกาย ใช้ร่างกายกระทบก็เกิดเป็นพิษซ่านออกมาได้
๔. วาตวิสพญานาค ใช้ลมหายใจพ่นเป็นพิษ และพิษอันนี้สามารถแผ่ซ่าน ไปได้
พญานาคประเภทหนึ่ง ๆ จากพิษ ๔ ประเภทข้างต้น ก็มีวิธีทำอันตรายได้ประเภทละ ๔ ชนิด รวมพญานาค ๔ ประเภททั้งพิษทั้งวิธีทำอันตรายแบ่งได้เป็น ๑๖ ชนิด เมื่อแบ่งตามวิธีที่จะทำอันตรายได้ทั้ง ๑๖ ชนิดนี้แล้ว
ชนิดหนึ่ง ๆ ก็แบ่งตามการแพร่กระจายของพิษได้อีก เป็น ๔ ชนิดคือ
๑. อาคตวิส น โฆรวิส มีพิษ แผ่ซ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่รุนแรง
๒. โฆรวิส น อาคตวิส มีพิษ แรงมาก แต่พิษนั้นแผ่ออกไปอย่างช้า ๆ
๓. อาคตวิส โฆรวิส มีพิษแผ่ซ่านไปอย่างรวดเร็วและแรงมาก
๔. น อาคตวิส น โฆรวิส มีพิษแผ่ออกไปช้าและไม่แรง
รวมเป็นทั้งพิษวิธีการทำอันตราย และการแพร่กระจายของพิษได้เป็น ๖๔ ชนิด และในบรรดา ๖๔ ชนิดนี้
ชนิดหนึ่ง ๆ แบ่งได้เป็น ๔ ชนิด ตามการเกิดคือ
๑. อัณฑชะพญานาค พญานาค ที่เกิดในไข่
๒. ชลาพุชะพญานาค พญานาค ที่เกิดในครรภ์
๓. สังเสทชะพญานาค พญานาค ที่เกิดจากเหงื่อไคล
๔.โอปปาติกะพญานาค พญานาคที่พอเกิดมาก็ตัวใหญ่โตเต็มวัยเลยทีเดียว
รวมเป็น พญานาค ๒๕๖ ชนิด และในบรรดาพญานาค ๒๕๖ ชนิดนี้ ชนิดหนึ่ง ๆ ยังแบ่งออกได้เป็น ๒ ชนิดตามแหล่งกำเนิด คือ
เมื่อรวมการแบ่งตามแหล่งกำเนิดด้วยแล้วจะเป็นพญานาค ๕๑๒ ชนิด และในพญานาค ๕๑๒ ชนิดนี้ ชนิดหนึ่ง ๆ ยังแบ่งออกได้เป็น ๒ ชนิดคือ
๑. กามรูปีพญานาค พญานาค ที่เสวยกามคุณ (ยังเสพกามอยู่)
๒. อกามรูปีพญานาค พญานาค ที่ไม่เสวยกามคุณ (ไม่เสพกาม)
รวมเป็นพญานาคทั้งสิ้น ๑,๐๒๔ ชนิด ตามที่อธิบายถึงพญานาคมี ๑,๐๒๔ ชนิดนี้ มีมาในขันธวัคคสังยุตตอัฎฐากถา นาควัคค
นอกจากนี้ยังแบ่งพญานาคได้ตามหน้าที่ดังนี้
๑. นาคสวรรค์ มีหน้าที่เฝ้าวิมานเทวดา
๒. นาคกลางหาว มีหน้าที่ให้ลม ให้ฝน (คงเป็นนาคประเภทนี้ที่คอยให้น้ำ)
๓. นาคโลกบาล มีหน้าที่รักษาแม่น้ำลำธาร
๔. นาครักษาขุมทรัพย์
พญานาคที่มีฤทธิ์มากนั้นสามารถเนรมิตตนให้เป็นคนได้แต่ถึงแม้จะ เนรมิตตนให้เป็นคนได้ นั้นก็ยังมีลักษณะอาการ
๕ อย่างที่มีประจำตัวอยู่นั้นไม่สามารถจะทำให้หายไปได้ คงปรากฏขึ้นตามปกติธรรมดาของพญานาคนั้นเอง
ลักษณะอาการ ๕ อย่างนั้นคือ
๑. ในขณะปฏิสนธิ (เกิด) ต้องปรากฏรูปร่างสัณฐานเป็นพญานาค
๒. ในขณะกำลังลอกคราบอยู่ รูปร่างสัณฐานก็คงปรากฏเป็นพญานาค อยู่ตามเดิม
๓. ในขณะเสพเมถุนอยู่กับพญานาคด้วยกัน รูปร่างก็คงเป็นพญานาค
๔.ในขณะนอนหลับนั้นถ้าหากเวลาใดนอนหลับไปโดยปราศจากสติ ขณะนั้นร่างกายก็กลับเป็นพญานาคขึ้นมา
๕.ในขณะตายก็ต้องปรากฏร่างเป็นพญานาค
ซึ่งตามข้อ ๔. นั้นเคยมีเรื่องปรากฏว่าในสมัยพุทธกาลมีพญานาคตนหนึ่ง มีจิตศรัทธาใน พระพุทธศาสนาได้เนรมิตตนเป็นมนุษย์ มาบวชเป็นพระภิกษุได้สำเร็จ
อยู่ต่อมาในวันหนึ่งเกิด นอนหลับร่างกายก็กลับเป็นพญานาคตามเดิม พระภิกษุรูปอื่นมาเห็นเป็นงูใหญ่ห่มจีวรอยู่ จึงเกิด เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ในที่สุดจึงมีพระพุทธฎีกาห้ามมิให้สัตว์ดิรัจฉานได้บวชในพระพุทธศาสนา
พญานาคนั้นมีความอาลัยจึงทูลขอให้ฝากชื่อ "นาค" ไว้ให้แก่กุลบุตรผู้ที่จะบวชนัยว่าเพื่อไว ้แทนตนที่จะไม่ได้ บวชต่อไป
ในเรื่องอายุของพญานาคก็ไม่แน่นอนบางตนก็อายุสั้น บางตนก็อายุยืนพวกที่อายุยืนถึงแม้ พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นในโลกนี้ถึง ๕ พระองค์ พญานาคก็ยังคงมีอายุต่อไปได้
เช่น พญานาคตนหนึ่ง ชื่อว่ากาละกาละพญานาคนี้มีอายุมาตั้งแต่ พระกกุสันธะจนถึงพระโคดมและมีอายุ ยืนต่อไปจนถึงพระศรีอริยเมตตรัย
(ในช่วงที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๕ พระองค์นี้เรียก ว่าภัทรกัลป์ โดยพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์นั้น คือพระกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า พระโคดมพุทธเจ้า และพระศรี อริยเมตตรัยพุทธเจ้า)
กล่าวถึงในตอนต้นนั้นว่าครุฑย่อมจับนาคกินเป็นอาหาร
แต่มีนาคที่ครุฑไม่สามารถจับเป็น อาหาร ได้มีอยู่ ๗ จำพวก คือ
๑. นาคอันมีกำเนิดประณีตกว่าครุฑ
๒. กัมพลัสตรนาคราช
๓. ธตรัฐนาคราช
๔. นาคอันอยู่ในสีทันดรสมุทรทั้งเจ็ด
๕. นาคอันอยู่ในแผ่นดิน
๖. นาคอันอยู่ในภูเขา
๗. นาคอันอยู่ในวิมาน
ตามธรรมดาแล้วนาคย่อมกลัวครุฑเฉพาะนาคตระกูลต่ำกว่านาคทั้ง ๗ จำพวกนี้ และขนาด ของพญานาคก็มีผลทำให้รอดจากปากครุฑ คือถ้าตัวโตใหญ่กว่าครุฑแล้วครุฑก็ไม่สามารถ จับมากินได้
ดังในไตรภูมิพระร่วงกล่าวว่า เมื่อครุฑราชเอานาคกินดังนั้น เอาแต่นาคอัน เท่าตน และน้อยกว่าตนและใหญ่กว่าตนนั้นก็เอากินบ่มิได้และ นอกจากนี้ยังกำหนดอีกว่าครุฑ สามารถจับนาคกินได้เฉพาะนาคที่มีกำเนิดเสมอกับตนและต่ำกว่าตนเท่านั้น
ไม่สามารถจับ นาคที่มีกำเนิดสูงกว่าตนได้ เช่น ครุฑที่มีกำเนิดแบบชลาพุชะ (เกิดในครรภ์) สามารถจับ ชลา พุชะพญานาคที่มีกำเนิดเสมอกับตนและอัณฑชะพญานาคที่มีกำเนิดต่ำกว่าตนเป็น อาหารได้ แต่ไม่สามารถจับพญานาคที่มีกำเนิดแบบสังเสทชะพญานาคและ โอปปาติกะพญานาค ซึ่งมีกำเนิดสูงกว่าตนเองได้
ชาดกกล่าวถึงความยาวเพียงอย่างเดียวดังนี้ มีพระยาสุบรรณ (อีกชื่อหนึ่งของพญาครุฑ) ตนหนึ่งจำแลงกายให้ใหญ่ประมาณได้ ๑๕๐ โยชน์
(โยชน์เป็นหน่วยวัดระยะทางโบราณ โดย ๑ โยชน์ เท่ากับ ๔๐๐ เส้น และ ๑ เส้น เท่ากับ ๒๐ วา ดังนั้น ๑ โยชน์จะเท่ากับ ๔๐๐ x ๒๐ = ๘,๐๐๐ วา)
กระพือปีกแหวกน้ำทำให้เป็นช่องลงไปในมหาสมุทร แล้วจับพญานาค มีกายยาวได้ ๑,๐๐๐ วาคือ ๕๐ เส้น โดยตอนหางให้สำรอกอาหารออกแล้วคาบพาบินมา โดยส่วน เบื้องบนแห่งป่าตรงมายังต้นโกฏสิมพลี (ต้นงิ้ว) ส่วนพญานาคเมื่อพระยาสุบรรณจับห้อยหัวอยู่นั้น
จึงดำริว่าเราจักเปลื้องตนให้พ้นอันตราย จึงกระหวัดรัดต้นไทรด้วยขนดกายให้มั่น ต้นไทรนั้นก็ถอนหลุดออกส่วนพญานาคนั้นก็มิได้ปล่อยต้นไทร สุบรรณก็จับพญานาค ทั้งต้นไทร บินไปถึงต้นงิ้ว แล้วให้พญานาคนอนอยู่ ณ หลังคาคบ จึงฉีกท้องออกกินเป็นอาหาร แล้วทิ้งซากศพลงในมหาสมุทร
ซึ่งถ้าพิจารณาถึงขนาดของครุฑกับนาคตามนี้แล้วจะเห็นว่า ขนาดต่างกันมาก คือครุฑ ตัวใหญ่ถึง ๑๕๐ โยชน์หรือ ๑๕๐ x ๔๐๐ x ๒๐ = ๑,๒๐๐,๐๐๐ วา เมื่อแปลงหน่วยเป็นเส้นคือ ๖๐,๐๐๐ เส้น ส่วนพญานาคยาวเพียง ๑,๐๐๐ วา หรือ ๕๐ เส้นเท่านั้น
(ดังนั้นนาคก็ต้องเป็นอาหารครุฑอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะขนาดต่างกันยิ่งกว่า เหยี่ยว โฉบหนอนเสียอีก แต่ถ้าครุฑตัวใหญ่ ๑๕๐ เส้นหรือ ๓,๐๐๐ วา แล้วพญานาคยาว ๑,๐๐๐ วา บางทีอาจสูสีพอฟัดพอเหวี่ยงกัน - ผู้เขียน)
ขนาดของพญานาคยังไม่ปรากฏขนาดที่แน่ชัด ในโกฏสิมพลี สาเหตุที่พญานาคมีพิษ ในลิลิต นารายณ์สิบปางกล่าวไว้ว่า เหตุที่พวกนาคมีพิษเพราะเมื่อคราวกวนน้ำอมฤตสิ่งที่ผุดขึ้นจาก สมุทร เป็นอันดับหกคือพิษ
ฝูงนาคได้พากันสูบไว้ นาคและงูจึงมีพิษสืบมา ดังโคลงที่ว่า
ที่หกพิษผุดขึ้นจากสมุทร ทวยเทพบ่อยากชิมอยากได้
แต่ฝูงนาคเร็วรุด รีบสูบ ไว้แฮ
งูจึ่งมีพิษไว้สืบมา ซึ่งพิษของพญานาคเป็นเช่นไร ก็ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว
สถานที่อยู่ของพญานาค โลกบาดาลซึ่งอยู่ใต้โลกมนุษย์ลงไปเป็นที่อยู่ของพวกนาคนั้นเรียก ว่านาคพิภพซึ่งตั้งอยู่ ณ ท่ามกลางมหาสมุทรนั้นเป็นช่องแผ่นดิน มีลักษณะต่าง ๆ กัน กว้างใหญ่ประมาณ ๑๐๐ โยชน์บ้าง ๓๐๐ โยชน์บ้าง ๕๐๐ โยชน์บ้าง
เป็นแผ่นดินเสมอกันทุกแห่ง เลื่อมขาวงามเหมือนแผ่นเงิน มีหญ้าแพรกเขียวมันสูง๔ นิ้วมือ เขียวงาม ๓ นิ้วมือ งามดังแผ่นแก้วไพฑูรย์และดูรุ่งเรืองทั่ว แผ่นดินมีไม้ดอกไม้ผลงดงามตระการตามีปราสาท แก้วปราสาทเงินและปราสาททองงามนักหนา
ในไตรภูมิพระร่วงว่า ใต้เขาพระหิมพานต ์กว้างได้ ๕๐๐ โยชน์เป็นเมืองแห่งนาคราชจำพวกหนึ่ง มีแก้ว ๗ ประการ เป็นแผ่นดิน งดงามเหมือนไตรตรึงษ์
(อีกชื่อหนึ่งของดาวดึงส์อันเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๒ ต่อจากจาตุมหาราชิกา โดยมีพระอินทร์เป็นเทพผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นี้)
แผ่นดินเหล่านี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ปฐมกัลป์ มีอุทยาน และมีสระใหญ่ ๆ เป็นที่อยู่แห่งฝูงนาค มีแม่น้ำใหญ่เต็มไปด้วยน้ำอันใสสะอาด มีฝูงเต่าและปลาเป็นอันมาก แม่น้ำเหล่านี้เป็นที่เล่นของนาคราชทั้งหลายส่วนน้ำในสระอัน เป็นที่อยู่แห่งฝูงนาคนั้น ใสงามดุจแก้วแผ่นใหญ่ และมีท่าอันราบนักหนา มีดอกบัว ๕ ประการดูงามทุกแห่ง
ดอกบัวหลวงนั้นดอกใหญ่เท่ากงเกวียน เมื่อน้ำสะเทือนไหวไปมา ดูงามนักหนาดังแสร้งแต่งไว้ สำหรับนาคที่อาศัยอยู่ในมหาสมุทรเมื่อใกล้จะคลอดลูก เกรงว่าลูกที่จะเกิดใหม่ จะทนแรงคลื่นในมหาสมุทร กับลมปีกพญาครุฑคู่อาฆาตไม่ได้
ก็จะออกจากมหาสมุทร เดินทางมาคลอดลูกที่ป่าหิมพานต์แล้ว เลี้ยงลูกจนกว่าจะแข็งแรงพอจะ ตามแม่ออกมหาสมุทรได้แล้วจึงพาลูกออกมาสู่มหาสมุทรตามเดิม แต่ก่อนที่จะพาลูกนาคออกมานั้น นางนาคราชจะบันดาลให้เกิด ฝนตกหนักทั่วป่าหิมพานต์ ชนิดฝนห่าใหญ่จนน้ำท่วมนองไปหมด
แล้วจึงเนรมิตปราสาททองซึ่งภายในมีเครื่อง อยู่เครื่องกินเป็นทิพย์ทั้งสิ้น เหมือนวิมานเทวดา สำเร็จเสร็จการ ก็พาลูกนาคขึ้นไปอยู่ และพาลอยน้ำไปจนถึงมหาสมุทรที่ลึกได้ ๒,๐๐๐ วา
ก็พาปราสาทกับลูกดำลงไปอยู่ในมหาสมุทร ลูกนาคก็จะค่อย ๆ เติบโตขึ้น เรื่อย ๆ จนมีความยาวได้ ๑๐๐ วา และ ๑,๐๐๐ วา ตามลำดับจนในที่สุดก็โตเต็มท ี่สามารถอาศัยอยู่ได้ด้วยตัวเองในมหาสมุทร
สำหรับที่อยู่ของนาค โลกบาดาล ที่อยู่ใต้โลกมนุษย์นี้ตามคัมภีร์ปัทมะปุราณะกล่าวว่า มี ๗ ชั้นคือ
๑. อตล ผู้ครองชื่อ มหามายะ
๒.วิตล ผู้ครองชื่อ หาตะเกศวร เป็นภาคหนึ่งแห่งพระอิศวร
๓. สุตลผู้ครองชื่อพลีเป็นพญาแทตย์ (ยักษ์,อสูร) เคยบำเพ็ญตบะจนมีฤทธิ์ปราบพระอินทร์ และได้ครอง ๓ โลก (คือโลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และบาดาล)
ต่อมาถูกพระนารายณ์อวตาร เป็นพราหมณ์เตี้ยชื่อวามนไปปราบ โดยขอที่จากท้าวพลีเพียง ๓ ก้าว เมื่อท้าวพลียกให้ วามนสำแดงฤทธิ์ก้าวแรกเหยียบทั่วสวรรค์ ก้าวที่สองเหยียบทั่วโลกมนุษย์แล้วให้พระอินทร์ กลับมาครองสวรรค์ดังเดิม
ส่วนท้าวพลีถูกขับให้ไปอยู่บาดาล ต่อมากลับใจมากระทำยัญญะ กิจบูชาพระนารายณ์กับพระลักษมี พระองค์จึงอนุญาตให้ขึ้นมาอยู่แดนสุตล และมักถือกันว่า ท้าวพลีเป็นเจ้าที่ เรียกกันทั่วไปว่ากรุงพาลี
๔. ตลาตล ผู้ครองชื่อ มายะ
๕. มหาตล เป็นแดนที่อยู่ของงู
๖. รสาตล เป็นแดนที่อยู่ของแทตย์และทานพ (๒ พวกนี้เป็นอสูร ศัตรูของเทวดา)
๗. บาดาล เป็นที่อยู่ของนาค พระยาวาสุกีนาคราชเป็นราชาปกครอง
ตามที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าพญานาคนั้นมีที่มาหลายทางทั้งทางพุทธศาสนาและตาม ตำนานวรรณคดี ต่าง ๆ ซึ่งมักจะมีที่มาจากศาสนาพราหมณ์ และเห็นได้ชัดว่าพญานาค มีจำนวนมากถึงขนาด ตั้งบ้านเมืองได้ตรงกันทั้งทางพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์
ส่วนพญาครุฑ ถ้ากล่าวถึงในด้านชาดกทางพุทธศาสนาแล้วจะมีเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าพูดถึง พญาครุฑในศาสนาพราหมณ์แล้วจะมีเพียงตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งทำให้เรื่องราวของพญานาค มีปรากฏแพร่หลายทั้งในด้านศาสนาและตำนานต่าง ๆ ค่อนข้างมาก
และมักจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อในด้านดินฟ้าอากาศหรือน้ำอันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต มนุษย์โดยสะท้อนออก มาทั้งในรูปวรรณกรรม ตำนานและพิธีกรรมของแต่ละพื้นที่
http://www.navy.mi.th/navic/document/871111a.html
14 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 24 ดูรายการ
ลงโฆษณาของคุณตรงนี้
พุทธาวตาร
พุทธาวตาร
"อีกเดี๋ยวมันก็จะผ่านไป..."
โอ้...แม่เจ้า ทำวิทยานิพนธ์ เรื่องพญานาคได้เลย
สุดยอดละเอียดจริงๆ
อนุโมทนา..สาธุ สำหรับความมุมานะการหาข้อมูลครับ
14 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 1 ดูรายการ
~:*พนมวัน*:~
~:*พนมวัน*:~
เป็นที่รู้จักกันดี
มีคนเคยทำสาระนิพนธ์เรื่องนาคจริงๆ ค่ะ
[IMG]
14 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 5 ดูรายการ
~:*พนมวัน*:~
~:*พนมวัน*:~
เป็นที่รู้จักกันดี
คนบางคนอยากเป็นนาค แต่นาคส่วนใหญ่อยากเป็นคน
[IMG]
14 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 7 ดูรายการ
Pompaka
Pompaka
เป็นที่รู้จักกันดี
ขอบคุณครับสำหรับสาระดีๆ...^_^
เผ่าพงษ์วงศ์นาคราชฤทธานุภาพจงเจริญ....
14 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 6 ดูรายการ
pk010209
pk010209
เป็นที่รู้จักกันดี
ชอบรูปของคุณระกาจันทร์จังขอ save ไว้นะคะ บทความดีมากๆเลยค่ะค่อนข้างละเอียดเลยทีเดียว:cool:
14 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 3 ดูรายการ
~:*พนมวัน*:~
~:*พนมวัน*:~
เป็นที่รู้จักกันดี
ตามสบายนะคะ รูปนาคนารีข้างบนดูลึกลับเหมือนกัน
มีเรื่องนาคที่มาปรากฏตัวให้คนเห็นมาฝากค่ะ
ยายพุ่มกับพญานาค
ความ เชื่อในเรื่องพญานาคที่ปรากฏนี้ เป็นความเชื่อที่แน่นแฟ้นไม่คลอนแคลน เช่นเดียวกับความเชื่อของชาวอุบลฯ ที่เชื่อว่ามีพญานันทนาคราชรักษาเมืองอุบลฯ โดยมีวังอยู่ในแม่น้ำมูลตรงบริเวณท่าน้ำวัดหลวง (ใกล้ตลาดใหญ่) จนถึงกับมีพิธีกรรมบูชาและประทับทรงพญานันทนาคราชที่วัดหลวงในวันออกพรรษา ทุกปี
เกี่ยวกับพญานาคในแม่น้ำมูล มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับยายพุ่ม (ไม่ทราบนามสกุล) ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ตัวยายพุ่มเองเป็นชาวลาว ข้ามแม่น้ำโขงมาอยู่อำเภอเขมราฐ จังหวัดอุบลฯ ตั้งแต่ยังเป็นสาว ต่อมายายสว่าง พาศิริ ได้นำตัวยายพุ่มมาอยู่ด้วยกันที่เมืองอุบลฯ โดยเช่าบ้านอยู่ใกล้ท่าน้ำตลาดใหญ่ ซึ่งเวลานั้นคาดว่าจะเป็นช่วงเวลาราว ๆ พ.ศ. 2469-2470 โดยทั้งยายพุ่มและยายสว่างมีอายุได้ประมาณ 20 ปี
ครั้ง หนึ่งยายพุ่มลงไปอาบน้ำมูล ได้นำผ้าเปื้อนระดูของตนลงไปซักล้างด้วย ขณะที่กำลังยืนแช่น้ำขนาดหัวเข่าซักผ้าเปื้อนระดูอยู่นั้น เห็นงูสีเขียวลอยน้ำตรงเข้ามา แล้วมุดน้ำลงไปพันเกี้ยวรอบขาของยายพุ่ม ชูคอโผล่หัวพ้นน้ำขึ้นมาด้วยลักษณะเป็นงูมีหงอนสีทอง ลำตัวไม่ใหญ่มากแค่ประมาณท่อนแขนของยายพุ่มเอง
ยายพุ่มตกใจถึงกับ หงายหลังล้มลงไป งูสีเขียวหงอนทองก็ชูคออยู่ตรงหน้ายายพุ่มแล้วพูดออกมาเป็นเสียงมนุษย์ว่า “อย่าทำแบบนี้อีกนะ เพราะเห็นว่ามีความสัมพันธ์กับเรามาก่อนจึงจะไว้ชีวิต”
หลัง จากนี้นมายายพุ่มก็เปลี่ยนไป กลายเป็นคนถือศีลปฏิบัติธรรม และไม่อาบน้ำเลยจนกว่าจะถึงวันพระ คือ อาบน้ำเฉพาะวันพระเท่านั้น และจะมาอาบตรงท่าน้ำที่ยายพุ่มพบงูมีหงอนสีทอง ลำตัวเขียว จนตลอดชีวิต
จาก เหตุการณ์นั้น ยายพุ่มยังได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนอีกอย่างหนึ่งคือ กลายเป็นคนพูดอะไรออกมาแล้วจะเป็นจริงตามพูดทุกอย่าง ไม่ว่าจะพูดเรื่องอดีตหรืออนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตนเองหรือของคนอื่น บอกได้แม้ว่าใครจะตายเวลาไหน ด้วยเหตุอะไร คือพยากรณ์อะไรก็ถูกต้องไปหมดจนเป็นที่นับถือของชาวเมืองอุบลฯ ตลอดสมัยของชีวิตยายพุ่ม
ภายหลังยายพุ่มย้ายมาอยู่ในซอยข้างวัดแจ้ง ยังคงเป็นผู้ที่หากทักท้วงอะไรจะเป็นจริงเช่นเดิม และยังเดินทางไปอาบน้ำที่ท่าน้ำตลาดใหญ่ทุกวนพระเหมือนเดิม จนกระทั่งเสียชีวิตอยู่ที่นี่ขณะมีอายุประมาณ 80 ปี
งานศพยายพุ่ม คนทั้งซอยวัดแจ้งร่วมกันเป็นเจ้าภาพ รวมทั้งพระเณรในวัดแจ้งด้วย
มีผู้ที่รู้จักใกล้ชิดยายพุ่มท่านหนึ่งคือ ป้านิภา เพียรสุข ปัจจุบันพำนักอยู่ตรงข้ามโรงแรมปทุมรัตน์ เมืองอุบลฯ ได้เล่าว่า
“ยาย พุ่มเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ถ้าพูดอะไรออกมาเป็นจริงหมด และยายพุ่มเคยบอกว่าพญานาคที่แม่น้ำมูล ยายพุ่มได้พบเห็นบ่อย อาจจะแทบทุกครั้งที่ลงไปอาบน้ำที่นั่น โดยมักจะเห็นคราวละ 2 ตัว บางทีก็ออกอาการเล่นน้ำหยอกล้อกันคล้าย ๆ จะเป็นนาคผัวมียทำนองนั้น”
เรื่องของยายพุ่มนี้คนที่รู้จักยายพุ่มทุกคนจะรับรองนับถือว่าเป็นความจริง นับว่าแปลกประหลาดดี
ยังมีอีกท่าน หนึ่งซึ่งมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับพญานาคอย่างชัดเจน เพราะมีพยานรู้เห็นเหตุการณ์มากมาย ท่านผู้นี้คือ ยายชีนวล แสงทอง วัดภูฆ้องคำ บ้านดงตาหวาน อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี ปัจจุบันอายุประมาณ 93-94 ปี
ยายชีนวลค่อนข้างจะมีความพิสดารอยู่ใน ตัวไม่น้อย จนแม้หลวงปู่คำพันธ์ได้เห็นยายชีนวลครั้งแรก ยังแสดงอาการผงะและออกปากว่า “ยายชีผู้นี้ไม่ใช่เล่น เป็นคนมีวิชาเต็มตัว” ซึ่งก็จริงตามนั้น เพราะว่ายายชีนวล
มีลูกศิษ์ลูกหา ทั้งโยมทั้งพระมากมาย ทั้งยังเป็นที่พึ่งคนทุกข์ใจทุกข์กายมาโดยตลอด
ในสมัยยายชีนวลเป็น สาวก็เป็นผู้ใฝ่ธรรม ถือศีล ออกปฏิบัติกับครูบาอาจารย์มากมายหลายสำนัก ทั้งยังเป็นสหายกับสำเร็จตัน ผู้ศิษย์สำเร็จลุนอีกด้วย สำเร็จตันจะไปไหนมักเรียกยายชีนวลไปด้วยกันเสมอ
พอถึงห้วงเวลาหนึ่ง ยายชีนวลก็แต่งงานมีครอบครัว โดยมีชายหนุ่มมาหลงรักและขอแต่งงาน ยายชีนวลได้กำหนดข้อแม้ว่า ถ้าจะแต่งงานกับฉันก็ได้ แต่ต้องรับว่ามี 2 ข้อที่ฉันจะขอเอาไว้คือ หนึ่งฉันจะไม่เข้าครัวทำอาหารให้กิน สองฉันจะไปจากบ้านกับพระกับเจ้าเมื่อไหร่ก็ไม่จำเป็นต้องบอก ชายหนุ่มผู้นั้นก็ยอมรับ
ยายชีนวลใช้ชีวิตแต่งงานอยู่นานพอสมควรก็ขอลาสามีออกบวชชี และบวชเรื่อยมาจนปัจจุบันนี้
ประสบการณ์ ในการพบเห็นพญานาคของยายชีนวลเกิดขึ้นขณะยายชีนวลมีอายุประมาณ 16-17 ปี ได้บวชเป็นชีแล้ว และด้วยความที่เป็นผู้อุปนิสัยเป็นอิสระในทุก ๆ อย่าง นึกจะไปไหนก็ไป ไม่เคยกลัวอะไร จึงออกธุดงค์ไปถ้ำแกลบ ซึ่งชาวบ้านรำลือว่ามีอาถรรพณ์และความน่ากลัวแอบแฝงอยู่
ถ้ำแกลบอยู่ ในพื้นที่ของอำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร ในสมัยปี 2472 นั้น บริเวณถ้ำแกลบคือ ป่าดงดิบรกทึบน่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด ชาวบ้านละแวกนี้นไม่กล้าออกไปหาของป่าหรือไปทำอะไรอยู่แถว ๆ นั้น ด้วยมีคนเคยเห็นงูขนาดยักษ์เลื้อยเข้าอออกถ้ำแกลบบ่อย ๆ
เมื่อชาว บ้านเห็นแม่ชีสาวเดินธุดงค์มาและบอกความประสงค์จะขึ้นไปปฏิบัติธรรมอยู่ถ้ำ แกลบ ชาวบ้านก็ตกใจพากันห้ามปรามทัดทานเอาไว้ แต่ไม่สำเร็จ ไม่สามารถเปลี่ยนใจแม่ชีสาวได้ แม้แต่จะเดินทางไปส่งแม่ชีสาวถึงถ้ำแกลบก็ยังไม่มีใครยอมไป คงเพียงแต่อธิบายบอกทางและวิธีไปถึงถ้ำแกลบเท่านั้น
หลังจากแม่ชีสาว เดินขึ้นถ้ำแกลบเล้วก็หายเงียบไปเป็นเวลาแรมเดือน โดยไม่เคยมีใครได้ข่าวหรือเห็นแม่ชีสาวกลับลงมาหมู่บ้านเพื่อหาเสบียงอาหาร
ชาว บ้านทั้งหลายเริ่มวิพาษ์วิจารณ์ด้วยความรู้สึกนึกคิดไปประการต่าง ๆ ทั้งประหลาดใจ และห่วงใยแม่ชีสาว ซึ่งอายุก็ยังน้อยอยู่ จนที่สุดชาวบ้านประมาณ 10 คน รวมกลุ่มคนใจกล้าแล้วก็ตัดสินเดินกันขึ้นถ้ำแกลบเพื่อดูแม่ชีสาวว่าอยู่ อย่างไร
เมื่อไปถึงถ้ำแกลบ ทุกคนก็ตกตะลึงพรึงเพริด ขนลุกขนชันแทบคุมสติไม่อยู่
ตรงปากถ้ำนั้นมีงูหนอนแดง ลำตัวขาวขนาดใหญ่พันรัดลำตัวของแม่ชีสาวเอาไว้ จนเห็นแค่ใบหน้าและศีรษะของแม่ชีสาวเท่านั้น
ชาวบ้านทุกคนเชื่อว่าขระนั้นแม่ชีสาวคงจะเสียชีวิตไปแล้ว ก็พากันเผ่นหนีกลับลงมาหมู่บ้าน และเล่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เห็นให้คนทั้งหมู่บ้านฟัง แล้วสรุปว่าแม่ชีสาวตายไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากนั้นอีก 2 วัน ชาวบ้านทั้งหลายก็มีอันต้องตกตะลึงอีกครั้ง เมื่อได้เห็นแม่ชีสาวเดินกลับลงมาจากถ้ำแกลบถึงหมู่บ้านโดยปลอดภัย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งยังบอกแก่ชาวบ้านว่า
“ไม่ต้องกลัวท่านพญานาคนั้นหรอก เพราะว่าท่านเป็นพญานาคมีศีลและปฏิบัติธรรมด้วย ขอเพียงให้ชาวบ้านเราทุกคนเมื่อจะขึ้นเขาหาของป่าหรือเข้าใกล้บรเวณนั้น ให้พากันบอกกล่าวท่านก่อน ให้เรียกชื่อท่านว่า พญานาคคำขาว แล้วทุกคนจะปลอดภัย ไม่มีอันตราย หากินก็จะง่าย”
ชาวบ้านทุกคนก้มกราบแม่ชีสาวด้วยความศรัทธาเลื่อมใส และยังกล่าวขวัญถึงเรื่องนี้สืบต่อมาจนทุกวันนี้
ปัจจุบันแม่ชีสาวนั้นกลายเป็นยายชีอายุเกือบ 100 ปี พำนักอยู่เพียงลำพังองค์เดียวในวัดภูฆ้องคำที่ไม่มีแม้แต่พระหรือเณรอยู่อาศัย
เมื่อ กลางปีที่แล้วยายชีนวลถูกงูกัด (เขาลือว่าเป็นงูจงอาง) คิดว่าตนเองจะต้องตายแน่แล้ว จึงกระเสือกกระสนขึ้นกุฏิเข้าพักในนั้น ปิดประตูเงียบจนตลอดคืน พอรุ่งเช้าก็ออกมา ไม่ตาย แถมยังแข็งแรงกระปรี้กระเปร่า เดินเหินคล่องแคล่วกว่าเดิมอีกด้วย
ยาย ชีนวลมีวิชาความรู้ดีจริงสมคำหลวงปู่คำพันธ์ว่าไว้ ได้ช่วยเหลือญาติโยมมามาก แต่เป็นคนไม่ใคร่พูดเรื่องความหลังหรืออวดวิชา ใครสนทนาซักถามมักจะตอบว่า
“บ่อู้ บ่จัก” (ไม่รู้ ไม่เป็น)
http://www.ampoljane.com/new/index.php?option=com_content&view=article&id=163%3A-5&catid=48%3A2009-07-06-13-03-24&Itemid=80&showall=1
14 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 16 ดูรายการ
texsum
texsum
เป็น
ลองหาอ่านดูเรื่องราวสนุกน่าติดตามให้ธรรมะ "ภูริทัตชาดก"
16 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 2 ดูรายการ
~:*พนมวัน*:~
~:*พนมวัน*:~
เป็นที่รู้จักกันดี
เมื่อปีก่อน ไปดูเข้าทรงที่เค้าบอกว่าเป็นพญานาค ใน อ.เมือง หนองคาย ไปกัน ทั้งหมด 7 คน ร่างทรงชื่อป้าหนูนิ่ม บอกว่าเรากับคนในทีมอีกคน เป็นพญานาค แต่มากันคนละสายค่ะ จำไม่ได้แล้วว่าคนไหนเป็นสายไหน
17 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 1 ดูรายการ
deity
deity
เป็นที่รู้จักกันดี
จริงๆแล้ว
นาคคือไดโนเสาร์ที่วิวัฒนาการเปนมนุษย์
แต่ลงบาดาลหรือเปล่า?
17 กรกฎาคม 2010
ถูกใจ ถูกใจ x 2 ดูรายการ
(คุณต้องเข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน เพื่อที่จะโพสต์)
12ถัดไป >
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น